“ไลโคปีน” เป็นสารชนิดหนึ่งในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่พบมากในมะเขือเทศ แตงโม และพิงค์เกรปฟรุต หรือผลไม้ที่ให้สารสีแดง สีส้ม และสีเหลือง โดยมีประสิทธิภาพจำเป็นแก่ร่างกายตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา
ทำหน้าที่ปกป้องการ เสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกายจากการทำลายของสารอนุมูล อิสระ และป้องกันโรคร้ายต่างๆ ซึ่งถ้าปล่อยให้ร่างกายมีสารอนุมูลอิสระมากจนเกินไป ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมการเลือกรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่ม แอลกอฮอล์ หรือแม้แต่การออกกำลังกายมากเกินไป จะเป็นสาเหตุให้เซลล์ภายในร่างกายถูกทำลาย หรือที่เรียกว่า “ร่างกายอยู่ในสภาพขึ้นสนิม” ซึ่งเป็นสาเหตุการเกิดเซล์์มะเร็ง โรคเบาหวาน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น
คราวนี้ มารู้จักความมหัศจรรย์ 7 อย่างของ “ไลโคปีน” กันว่า ช่วยดูแลปกป้องสุขภาพร่างกายให้เราได้อย่างไรบ้าง
1.สกัดกั้นปัจจัยที่ก่อให้เกิดมะเร็งแบบอยู่หมัด
จากการการศึกษาทางคลินิกในวารสารวิจัยมะเร็งปี 2542 พบว่า ผู้ชายร้อยละ 83 มีความเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากลดลง เมื่อได้รับสาร “ไลโคปีน” ในเลือดสูงถึง 0.40 ไมโครกรัมต่อลิตร หรือเทียบเท่าการรับประทานผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะเชือเทศ เช่น สปาเก็ตตีซอสมะเขือเทศ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยโดยสถาบันวิจัยจากประเทศญี่ปุ่น ทำการสำรวจปริมาณการบริโภคมะเขือเทศในอตาลีตอนเหนือและตอนใต้ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร พบว่า กลุ่มคนของอิตาลีตอนใต้ที่ใช้มะเขือเทศกับน้ำมันมะกอกเป็นวัตถุดิบพื้นฐาน ของอาหาร มีอัตราการเกิดโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารต่ำกว่ากลุ่มคนของอิตาลีตอนเหนือ ส่วนใหญ่ซึ่งรับประทานแต่อาหารที่ทำจากเนย น้ำมันหมูกับเนื้อสัตว์เป็นหลัก
2.สลายไขมัน ให้เส้นเลือดคล่องตัว
งานวิจัยขากสาขาวิชาสารอาหารและระบาดวิทยา ภาควิชาสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า ไลโคปีน มีประสิทธิภาพในการระงับอนุมูลอิสระที่จะทำลายผนังเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด และนักวิจัยชาวฟินแลนด์ ได้รายงานผลการวิจัยล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสารด้านประสาทวิทยา แสดงให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างระดับไลโคปีนในเลือดนำไปสู่การป้องกัน เส้นเลือดอุดตันในสมอง โดยหลังการติดตาม กลุ่มตัวอย่างที่เป็นชายวัยกลางคน จำนวน 1,000 คน เป็นเวลา 12 ปี พบว่า ชายที่มีระดับไลโคปีนในเลือดสูง มีส่วนสำคัญในการช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดทุกประเภท และป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตันและลิ่มอุดตันได้มากถึง 59%
3.ลดภาวะเครียดออกซิเดชัน ภัยร้ายลมหายใจแรกของทารก
ออกซิเจนเป็นก๊าซธรรมชาติที่ในุษย์ต้องใช้หายใจตั้งแต่ลืมตาดูโลก แต่การได้รับมากเกินไป อาจส่งผลร้ายเช่นกัน โดยเฉพาะทารก หากรับปริมาณออกซิเจนมากเกินไป จนกลายเป็นต้นเหตุให้เกิดอนุมูลอิสระในชั่ววินาทีแรกของลมหายใจหรือ ภาวะเครียดออกซิเดชัน (Oxidative Stres) เพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันให้ทารก ในระยะตั้งครรภ์คุณแม่ต้องเน้นรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยไลโคปีน เช่น มะเขือเทศ ซึ่งจะส่งไลโคปีนจากแม่สู่ลูกในครรภ์ผ่านสายสะดือ และในน้ำนม
4.ช่วยวัยรุ่น “ไดเอ็ท”
ช่วงวัยรุ่นร่างกายจะมีการแบ่งเซลล์เพื่อการเจริญเติบโตเป็นจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือเซลล์ไขมันที่เป็นสาเหตุของโรคอ้วน หากร่างกายมี “ไลโคปีน” ในเลือดเป็นจำนวนมาก ก็เปรียบเสมือนการมีตัวช่วยจำนวนมหาศาลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ ไขมัน
5.บาลานซ์น้ำตาลในร่างกายของวัยทำงาน
การบริโภคของคนไทยในปัจจุบันออกจะติดหวานกันอยู่ค่อนข้างมาก รวมไปถึงการบริโภคน้ำอัดลมที่เต็มไปด้วยน้ำตาล และนำไปสู่โรคเบาหวานในอนาคต ซึ่งประเทศไทยมีความเสี่ยงป่วยเป็นโรคเบาหวานสูงถึง 6.9% ซึ่งจากการวิจัยพบว่า การรับประทานมะเขือเทศที่มี “ไลโคปีน” มีประสิทธิภาพในการควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด หรือป้องกันภาวะความไวต่ออินซูลิน นอกจากนี้ มะเขือเทศยังมี “กรดซิตริก” ที่ช่วยยับยั้งการดูดซึมน้ำตาลกลูโคสที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีของออกซิเจนที่ เปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล
6.ล้างเส้นเลือดสะอาดหมดจน
คอเลสเตอรอลมีประโยชน์ในการเสริมสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย แต่ถ้ามีปริมาณมากจนเกินไป โดยเฉพาะชนิดเลว อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย ซึ่ง “ไลโคปีน” ในมะเขือเทศมีประสิทธิภาพพิเศษที่ช่วยสกัดปฏิกิริยาออกซิเดชันของคอเลสเตอร อลไม่ดีที่อยู่ในผนังหลอเลือด พร้อมช่วยลดคอเลสเตอรอลไม่ดีในกระแสเลือด และป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว
7.ป้องกันโรคความจำเสื่อมก่อนวัยชรา
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นร่างกายก็ยิ่งสะสมสารอนุมูลอิสระที่ทำร้าย เซลล์ต่างๆในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์ประสาทที่หน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้จดจำ ทำให้คนชราบางคนเกิดอาการหลงลืมหรือสับสนต่อเหตุการณ์ต่างๆ หากคนในวัยชรารับประทาน “ไลโคปีน” ก็จะช่วยยับยั้งการทำลายเซลล์ของสารอนุมูลอิสระและผลักออกจากร่างกายในเวลา ต่อมา
ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ อย่าง “ไลโคปีน” ยังสามารถช่วยเพิ่มเกราะป้องกันโรคร้ายให้กับร่างกายได้อีกด้วย เหมือนสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา”
BY : ปณิตา ถนอมวงษ์