โรคเก๊าต์เทียมเป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการคั่งและสะสมของผลึกเกลือชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต (calcium pyrophosphate dihydrate หรือ CPPD) ในผู้ป่วยส่วนมาก แพทย์ยังไม่ทราบว่าทำไม จึงเกิดผลึกนี้ขึ้น การคั่งและสะสมของผลึกเกลือชนิดนี้ในข้อ สามารถทำให้ข้อเกิดการอักเสบเฉียบพลันเป็นพักๆ มีลักษณะอาการคล้ายโรคเก๊าต์ จึงเรียกว่า โรคเก๊าต์เทียม แต่ผลึกตัวการที่ทำให้ข้อเกิดการอักเสบเป็นคนละชนิดกับโรคเก๊าต์โรคเก๊าต์เทียมต่างจากโรคเก๊าต์แท้อย่างไร
โรคเก๊าต์แท้หรือโรคเก๊าต์ที่คนทั่วไปรู้จัก เกิดจากร่างกายมีการคั่งและสะสมของผลึกยูเรตหรือกรดยูริก ข้อที่พบการอักเสบได้บ่อยคือ ข้อโคนหัวแม่เท้า ข้อโคนนิ้วเท้า ข้อเท้า เอ็นร้อยหวาย ข้อเข่า เป็นต้น
ส่วนข้อที่พบการอักเสบได้บ่อยในโรคเก๊าต์เทียมคือ ข้อเข่า ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อศอก ข้อเท้า และข้อนิ้วมือ เป็นต้น การอักเสบที่รุนแรงของโรคเก๊าต์เทียมมักเกิดที่ข้อเข่า ทำให้เจ็บปวดจนอาจถึงขั้นเดินไม่ได้หลายวันหรือหลายสัปดาห์
อาการของโรคเก๊าต์ทียม
ผู้ป่วยโรคเก๊าต์เทียมจะมีอาการแสดงต่างๆ กันออกไป เช่น
– อาการข้ออักเสบเฉียบพลันแบบเป็นๆ หายๆ เลียนแบบโรคเก๊าต์
– อาการปวดข้อเรื้อรังแบบโรคข้อเข่าเสื่อม หรืออาจพบร่วมกับโรคข้อเข่าเสื่อมได้
– อาการของข้ออักเสบเรื้อรัง เลียนแบบโรครูมาตอยด์
– อาการปวดคอที่เป็นอาการปวดร้าวมาจากอวัยวะอื่นๆ
– บางรายอาจไม่มีอาการ แต่ตรวจพบผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตได้
การคั่งและสะสมของผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรต โดยทั่วไปจะเกาะอยู่ที่กระดูกอ่อนในข้อ บางครั้งจะกระจายไปอยู่ที่เยื่อบุข้อ ผลึกนี้ทำให้ข้อเสื่อมสภาพเร็วขึ้น บางครั้งผลึกนี้จะทำให้เกิดปฏิกิริยาจนเกิดการอักเสบในข้อ โดยผลึกจะแตกตัวออกไป และเม็ดโลหิตขาวจะเข้ามากินผลึกนี้โดยนึกว่าเป็นเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบแบบเฉียบพลัน การอักเสบแต่ละครั้งจะทำให้เกิดการทำลายกระดูกอ่อนภายในข้อ
ใครบ้างที่เป็นโรคเก๊าต์เทียม
ทั้งเพศชายและเพศหญิงมีโอกาสเป็นโรคเก๊าต์ทียมได้เท่าๆ กัน โดยความเสี่ยงของการเกิดโรคเพิ่มขึ้นตามอายุ ผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตพบได้ร้อยละ 3 ในคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งพบผลึกนี้มากขึ้น และพบได้ถึงประมาณร้อยละ 50 ของคนที่อายุตั้งแต่ 90 ปีขึ้นไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มีผลึกนี้สะสมอยู่ในข้อ จะเกิดอาการข้ออักเสบ
โรคเก๊าต์เทียมมีลักษณะทางพันธุกรรม แต่ผู้ที่มีความผิดปกติทางระบบต่อมไร้ท่อและเมตาบอลิซึ่มบางอย่าง เช่น เป็นโรคธัยรอยด์ต่ำ โรคฮอร์โมนพาราธัยรอยด์สูง โรคที่มีธาตุเหล็กคั่งในตัวมาก และสภาวะโรคต่างๆ ที่ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูง ก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคเก๊าต์เทียมได้
นอกจากนี้ การเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันอาจเกิดหลังจากการผ่าตัดข้อ การผ่าตัดอย่างอื่น ตลอดจนการบาดเจ็บที่ข้อ หรือมีการเจ็บป่วยทางร่างกายอย่างอื่นในผู้สูงอายุ สภาวะเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดข้ออักเสบเฉียบพลันในผู้ป่วยที่มีผลึก แคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตสะสมไว้ในข้อ
การวินิจฉัยโรคเก๊าต์เทียม
แพทย์จะดูจากอาการและการตรวจน้ำไขข้อ โดยใช้เข็มเจาะเอาน้ำไขข้อไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ ดูว่ามีผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตในน้ำไขข้อหรือไม่
ส่วนการตรวจเอกซเรย์ข้อ จะพบเงาของผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตไดไฮเดรตที่เกาะอยู่ที่กระดูกอ่อน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโรคนี้
โดยทั่วไปแพทย์ต้องตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่โรคเก๊าต์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ และโรคข้ออักเสบติดเชื้อ ผลึกของโรคเก๊าต์เทียมจะมีลักษณะป้านกว่าผลึกของโรคเก๊าต์ซึ่งแหลมและ ยาวกว่า ส่วนสีที่ปรากฏบนกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษก็จะไม่เหมือนกัน
การรักษาโรคเก๊าต์เทียม
ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถละลายผลึกของโรคเก๊าท์เทียมออกจากกระดูกอ่อนใน ข้อได้ ดังนั้นการรักษาโรคนี้ส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การรักษาอาการอักเสบของข้อ การป้องกันการเป็นซ้ำ และการตรวจหาโรคที่อาจพบร่วมกับโรคเก๊าต์เทียม แล้วให้การรักษาควบคู่กันไป
หากพบว่าผู้ป่วยมีสภาวะที่ทำให้เกิดโรคนี้เร็วขึ้น เช่น เป็นโรคธัยรอยด์ต่ำ เป็นโรคพาราธัยรอยด์สูง เป็นโรคแคลเซียมในเลือดสูง หรือเป็นโรคที่มีการคั่งของธาตุเหล็กในตัวมาก การรักษาโรคเหล่านี้จะทำให้การเกิดโรคเก๊าต์เทียมช้าลงไปด้วย
โดยทั่วไปแพทย์จะใช้ยาต้านอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (non-steroidal anti-inflammatory drugs หรือ N-SAIDs)
แต่ในผู้ป่วยที่สมรรถนะของไตไม่ดี หรือมีประวัติเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือกำลังกินยาที่ทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง ก็ไม่ควรใช้ยา N-SAIDs แพทย์จะใช้วิธีฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อจะปลอดภัยกว่า ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อยารับประทาน ก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาฉีดเข้าข้อเช่นกัน แต่ไม่ควรกระทำบ่อย
ผู้ป่วยที่มีน้ำไขข้อมาก การดูดเอาน้ำไขข้อออกจะช่วยลดการอักเสบของข้อได้ ผู้ป่วยบางรายมีข้อบวมมาก เช่น ข้อเข่า ซึ่งอาจมีไข้และมีอาการซึม ต้องเจาะและดูดน้ำไขข้อที่มีผลึกของโรคเก๊าต์เทียมออกไปให้มากที่สุด แล้วฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อ ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับการป้องกันการเกิดข้ออักเสบซ้ำอีก แพทย์อาจให้ยา colchicine เหมือนกับการรักษาโรคเก๊าต์ ในขนาดต่ำๆ หรือให้ยา N-SAIDs ในขนาดต่ำๆ สักระยะหนึ่งก็จะช่วยได้มาก นอกจากนี้การทำกายภาพบำบัดก็เป็นส่วนสำคัญ เหมือนกับการดูแลโรคข้ออักเสบทั่วไป