รักษามานานแล้วจากหลายที่หลายสำนักแต่ยังไม่ดีขึ้นแถมเป็นมากขึ้นกว่าเดิม ผมวิเคราะห์จากคนไข้และกลุ่มอาการโรค พบว่าส่วนใหญ่เกิดจากการวินิจฉัยโรคผิด การรักษาจึงใช้วิธีการที่ผิดพลาด ใช้ยาไม่ตรงกับโรค จึงเกิดผลค้างเคียงขึ้น ส่วนใหญ่การแพทย์แผนไทยจะใช้แต่การนวด และจ่ายยาการนวดนั่นมีหลายแบบมีหลายขั้นตอน ส่วนใหญ่จะเรียนมาแต่การนวดขาดการเรียนหลักการวินิจฉัย ขาดองค์ของความรู้ ฉะนั้นหมอแผนไทยต้องเรียนรู้หลักการวิเคราะห์ วินิจฉัยโรคเบื้องต้นของแพทย์แผนปัจจุบันด้วยรวมถึงพิษของยาและการขาดสารอาหาร สิ่งเหล่านี้เป็นตัวช่วยที่ดีในการวินิจฉัยคนไข้
ผมเองก็ยังค้นคว้าหาความรู้ทั้งใหม่และเก่าเพื่อมาวิเคราะห์หาสาเหตุหรือสมมติฐานที่ตั้งที่แรกเกิดโรคกว่าจะชำนาญก็เล่นเอา ๒๖ ปีเต็มก็ยังไม่เก่งเลย สงสารคนไข้จริงฯส่วนใหญ่ที่มาหาจะมีอาการเพิ่มมาจากการรักษาทั้งนั้นเป็นกันมานานจนโรคเรื้อรัง รักษายากบางคนเป็นจนท้อ เล่นเอาไม่กินไม่นอนผอมแห้งไม่มีแรง บางคนก็ถูกผู้ดูแลทอดทิ้ง ทำงานดีต่อหน้าผู้ว่าจ้าง บางคนก็ดูแลดีจนเกินเหตุจนทำให้คนไข้ขาดสารอาหารจนเกือบตาย
ดังนั้นผู้เป็นหมอแผนไทยต้องวิเคราะห์ให้ออก โรคบางอย่างเกิดจากกล้ามเนื้อ บางอย่างเกิดจากเอ็น บางอย่างเกิดจากกระดูก บางอย่างเกิดจากปิตตะ บางอย่างเกิดจากวาตะ บางอย่างเกิดจากเสมหะ บางอย่างเกิดจาดพิษ พิษมีทั้งเคมี และการแสลงของอาหาร แสลงกลิ่น
การรักษาทั้งหลายมีการจดบันทึกไว้ในตำราและคัมภีร์ของหมอแผนไทยอยู่แล้วแต่ผู้เป็นหมอต้องศึกษาให้ลึกซึ้งแม้นแต่การนวดหัตถบำบัด หรือหัตถเวช ก็ต้องศึกษาแผนการนวดให้ดี บางจุดเราจะใช้ตามตำรามากไปก็ไม่ได้จะลงน้ำหนักมากไปก็ผิดต้องคอยปรับแต่งรสมือให้ดี จุดแต่ละจุดเป็นความลับของกลุ่มอาการโรคอะไรที่เราจะต้องกดอะไรที่เราจะต้องคลึงคลายจุดเบิกให้การไหลเวียนดี
การเรียนรู้เรื่องฤดูของการเกิดโรคก็สมควรที่จะต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้ง ฤดูอะไรมีโรคประจำ โรคแทรก โรคตาม ถ้าศึกษากันจริงฯก็จะรู้ว่าคัมภีร์นวดกับคัมภีร์สมุฐานวินิจฉัยจะต้องใช้คู่กันผมขออนุญาตท่านผู้รู้ทั้งหลายที่ต้องแสดงความคิดเห็นลงในที่นี้นะครับเพราะยังมีน้องๆ อีกหลายสำนักยังไม่เข้าใจวิธีการจะได้หาหนทางในการเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง
ในการประกอบอาชีพนะครับ ตำรามีไว้เป็นแนวทาง ส่วนประสบการณ์ต้องค้นคว้าหาเหตุหาผลกันเอาเองนะครับ ปราชญ์เดินดินมีอยู่มาก ลองค้นคว้าหากันนะครับ 🙂