ก่อนทำการนวดต้องทำการบูชาพระและบูชาพ่อปู่ครูใหญ่ คำไหว้ครู    สาธุ  สาธุ  อิติปิโสภะคะวา  มือเข้าพเจ้าทั้งสิบนิ้ว  ยกขึ้นระหว่างคิ้ว  จะขอถวาย  ต่างบุษบาบาล  ดอกไม้เงินทอง   จักษุทั้งสอง  จะขอถวายต่างประทีป  แก้วอันเรืองชัย  จะขอนมัสการ   พระพุทธคุณนัง  พระธรรมคุณนัง   พระสังฆคุณนัง  สะระนังคัจฉามิ  คุณพระบิดา 21  คุณพระมารดา 12  คุณพระแม่โพสพ 39  คุณพระพุทธเจ้า 56  คุณพระธรรมเจ้า 38  คุณพระสังฆเจ้า 14  คุณพระคงคา 12  คุณพระธรณี 21  คุณลม 6  คุณไฟ 7  คุณอากาศ 10  คุณอักขระ 33  คุณอัสวาส  คุณนิสวาส  คุณศีล 5 คุณศีล 8 คุณศีล 10 คุณศีล 227  คุณพระโสดา คุณพระสกิทาคา คุณพระอนาคา คุณพระอรหันตา คุณมรรค4 คุณผล 4 คุณพระนิพพาน 1 คุณศีลณะบารมี คุณทานะบารมี คุณเลข คุณยันต์ ตะกรุตพิสมร ผ้าประเจียดแลมงคล ทั้งแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ พระไตรปิฎก รักษาภายนอกและภายใน  คุณพระฤาษีหน้างัว คุณพระฤาษีตาไฟ คุณพระฤาษีนารอด คุณพระฤาษีนาไลย์ คุณพระฤาษีไกรสร คุณพระฤาษีพุทธมงคล คุณพระฤาษีประลัยโกฎ์  คุณพระฤาษีอันทรงฤทธิ  ทั้งแปดพระองค์  จงมานั่งเป็นทิพย์ญาณ  แก่ข้าพเจ้าด้วย จะขอทำการสิ่งใดก็ดี  ขอให้ประสิทธิเม พระพุทธคุณนัง พระธรรมคุณนัง พระสังฆคุณนัง สะระนังคัจฉามิ           โอม นะโม ชีวะโก สิระสาอะหัง การุณิโก สัพพะสัตตานัง โอสะถะทิพพะมันตัง ประภาโส สุริยาจันทัง. โกมาระภัจโจ ประกาเสติ วันทามิ บัณฑิโต สุเมธะโส อะโรคา สุมะนาโหมิ  ฯ ” การนวด ” เป็นวิธีการ อย่างหนึ่งที่สามารถ ส่งเสริมสุขภาพให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง ทำให้เลือดลมสมบูรณ์ดี การนวด ช่วยให้ร่างกายเกิดภูมิคุ้มกันโรคและป้องกันโรค การหมั่นขยับข้อต่อที่อยู่นิ่งฯไม่ให้ติดขัด การนวดบริเวณกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้เกิดความเครียด การนวดตามจุดต่างฯ การนวดเท้า  การนวดกล้ามเนื้อ การกดขยี้ตามเส้นเอ็นผังผืด การนวดช่วยให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่หัวใจได้ดีขึ้น การนวดเปิดประตูลมยังช่วยให้ปลายมือปลายเท้ามีเลือดไปเลี้ยงมาขึ้น การนวดอย่าเบาฯก็สามารถลดอาการปวดได้เช่นกัน การนวดยังมีผลกับการเต้นของหัวใจสามารถช่วยชีวิตคนได้ การนวดสามารถช่วยให้แม่หลังคลอดบุตรมีน้ำนมมากขึ้น และยังช่วยนวอประคบให้มดลูกกลับเข้าอู่ได้ดีขึ้น ( ตำแหน่งเดิม ) การนวดยังฟื้นฟูสมรรถภาพ ของคนป่วยให้กลับมาประกอบอาชีพและกลับเข้าสู่สังคมตามเดิมได้ ฉะนั้น ในการนวดจะต้องรู้จริง มีประสบการณ์สูง นวดได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัยต่อคนไข้และเป็นการอนุรักษ์ ศาสตร์ของโบราณเราจริงฯ ครับ ติดตามตอนต่อไป การนวดไทย

การตรวจ

๑. การตรวจ
วิธีการตรวจโรคตามแบบแผนโบราณของเรานั้น เป็นวิธีการอันหนึ่งของแพทย์แผนโบราณซึ่งนำมาใช้ในการตรวจรักษาโรค และแพทย์แผนโบราณของเรานั้นก็มีอยู่หลายแขนงด้วยกัน คือ
๑. เวชกรรม การตรวจและรักษาทางยา มีวิธีการต่างๆ
๒. ผดุงครรภ์ คือการทำคลอดตามแบบแผนโบราณ
๓. การนวด การรักษาโรคโดยการจับเส้น รวมตลอดถึงการประคบด้วยยา การอบสมุนไพร
๔. การเภสัช คือแพทย์ผู้ประกอบการปรุงยา รักษาโดยวิธีการต่างๆ ฉะนั้น การนวดก็เป็นวิธีการรักษาโรคแขนงหนึ่
ก่อนที่จะได้กล่าวถึงเรื่องการรักษาโดยวิธีนวดนี้ จำเป็นต้องกล่าวถึงการตรวจเสียก่อน ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องนวดนี้ ก็ต้องทำการตรวจเสียก่อนเช่นเดียวกันกับการตรวจรักษาโรคอื่นๆ และการนวดนี้ เราสามารถนำการนวดรักษาโรคให้กับผู้ที่แรกเกิดจนถึงวาระสุดท้ายของอายุขัย เมื่อผู้ป่วยมาพบหมอนวด ก็จำเป็นต้องทำการตรวจตามวิธี เรามีหลักไว้ดังนี้
๑. ถามประวัติผู้ป่วย ชื่อ นามสกุล อายุ ที่อยู่ เชื้อชาติ สัญชาติ อาชีพ ครอบครัว นิสัย ความประพฤติ อาการป่วย
๒. ถามประวัติของโรค เช่น ป่วยตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดจึงป่วย อาการเริ่มแรก การรักษาพยาบาล อาการเปลี่ยนแปลง อาการเห็นด้วยตา
๓. ตรวจร่างกาย เช่น รูปร่าง กำลังกาย สติ อารมณ์ ชีพจร การหายใจ การเต้นของหัวใจ ปอด ลิ้น ตา ผิวพรรณ
๔. ตรวจอาการ ดูความร้อน เหงื่อ อุจจาระ ปัสสาวะ อาหารการกิน การนอน ความรู้สึก อาการที่เห็น
๕. เมื่อเสร็จแล้ว จึงจะประมวลว่า ผู้ป่วยนั้นเป็นโรคชนิดใด เกิดจากสมุฏฐานใดๆ การตรวจเช่นนี้ ก็เพื่อ
(๑) ทราบสมุฏฐานตามอาการของโรค
(๒) ทราบประเทศสมุฏฐาน ตามที่อยู่ที่ผู้ป่วยแจ้ง
(๓) ทราบอายุสมุฏฐาน เพราะอายุเป็นเหตุอย่างหนึ่งในการวินิจฉัยโรค
(๔) ขณะป่วยฤดูอะไร เรียกว่าอุตุสมุฏฐาน
๖. หลังจากเราตรวจอาการต่างๆ แล้ว ก็จะได้สรุปการรักษาว่า ควรนวดหรือไม่ควรนวด เพราะอาการบางอย่างหรือการป่วยบางอย่างที่ห้ามไว้ไม่ให้นวดก็มี เช่น
(๑) ผู้ป่วยกำลังป่วยเป็นไข้ ตัวร้อนจัด
(๒) ผู้ป่วยเป็นไข้พิษ มีเม็ดขึ้น ตาแดงจัด
(๓) ผู้ป่วยเป็นไข้รากสาด มีเม็ด
(๔) ผู้ป่วยเป็นไข้เหนือ
(๕) ผู้ป่วยที่กำลังมีประจำเดือน มดลูกเปิด ไม่ควรนวด
(๖) ผู้ป่วยที่เพิ่งได้รับการบำบัดโดยวิธีอื่นมาใหม่ๆ เช่นฉีดยา
เหล่านี้เราไม่สามารถจะทำการนวดให้ผู้ป่วยได้ ต้องรักษาอาการไข้ดังกล่าวให้หายเสียก่อน จึงจะทำการนวดได้
๒. การรักษาด้วยการนวด
ผู้ป่วยที่เราวินิจฉัยแล้วว่าจำเป็นต้องนวดนั้น จะได้พูดถึงวิธีการนวดตามธรรมดาเสียก่อน ก่อนที่จะทำการนวดทุกราย ต้องรำลึกถึงคุณครูเสียก่อน แล้วจึงลงมือทำการนวดตามลำดับ
(๑) เริ่มจากฝ่าเท้าเสียก่อน
(๒) เปิดลมให้เดินสะดวก
(๓) ไคลตรงบริเวณที่นวด เพราะบางแห่งก็กดแรงไป
(๔) ต่อจากนั้นก็ขึ้นมาหน้าแข้ง ถึงโคนขา ทั้ง ๒ ข้าง
(๕) ละจากโคนขาไปนวดที่ปลายแขน จนถึงไหล่ ทั้ง ๒ ข้าง
(๖) ต่อจากนั้นจึงนวดที่ลำตัวด้านหน้า
(๗) ต่อจากนั้นก็นวดที่ด้านหลัง แผ่นหลัง ตะโพก บั้นเอว
(๘) เมื่อเสร็จการนวดลำตัวแล้ว ก็นวดที่ศีรษะบริเวณปาก หน้าผาก หว่างคิ้ว
(๙) ซ้ำจุดที่เห็นสมควรอีกครั้ง
(๑๐) ดัดบางแห่งที่ขัดยอก
ที่กล่าวมานี้ เป็นการนวดในรายธรรมดา ถ้าผู้มานวดป่วยมีอาการต่างๆ ก็จะได้นวดบริเวณที่มีอาการ
อาการของโรคลมต่างๆ
ก. ชื่อลมที่เกิดประจำวัน
๑). ลมที่กระทำในวันอาทิตย์ ชื่อลมสุมนา บางทีก็เรียกลมดานตคุณ ลมมหาสดมภ์
๒) ลมที่กระทำในวันจันทร์ ชื่อลมกาละทารี ทำให้ร่างกายเป็นเหน็บ เพราะกินของผิดสำแดง
๓) ลมที่กระทำในวันอังคาร ชื่อลมฆานทารี ลมนี้มักเกิดลมปัตคาตเข้าแทรก
๔) ลมที่กระทำในวันพุธ ชื่อลมจันรสัง เกิดแต่การอาบน้ำมากไป ๕) ลมที่กระทำในวันพฤหัสบดี ชื่อลมปิงคลา ทำให้จับหน้าตาแดง ปวดไปทั่วตัว
๖) ลมที่กระทำในวันศุกร์ ชื่อสหัสรังษี เวลามีอาการเพราะลมอัคนิวาตคุณเข้าแทรก สาเหตุเพราะกินของหวานจัด และของที่มีมันมาก
๗). ลมที่กระทำในวันเสาร์ ชื่อลมกุขุง ทำให้มีอาการเจ็บในท้อง เพราะกินของมีมัน
ข. ชื่อลมประจำธาตุทั้ง ๔ (ลมจตุรพฤกษ์) ลมนี้เกิดแต่ธาตุทั้ง ๔ เป็นมูลเหตุผู้ที่จะแก้ลมทั้งปวงนี้ได้ ก็ต้องศึกษารู้จักตำแหน่งที่อยู่ของเอ็นนอกเอ็นในและเส้นต่างๆ ที่เรียกว่า เส้นสูญสายเสียดและจุก เราจึงเรียกว่าลมจตุรพฤกษ์ เป็นลมที่เกิดจากธาตุทั้ง ๔ คือ
๑) โรคที่เกิดจากปถวีธาตุ (ธาตุดิน) มีอาการแสดงท้องแข็งเป็นดาน หยิกหรือทุบถองไม่รู้สึกตัว
๒) โรคที่เกิดจากอาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) มีอาการแสดงร่างกายเป็นน้ำเหลืองขึ้น ในบางขณะ เมื่อยขบไปทั่วทั้งตัว กล้ามเนื้อตามบริเวณท้องอักเสบและเจ็บนานๆ
๓) โรคที่เกิดจากวาโยธาตุ (ธาตุลม) มีอาการโลหิตและนํ้าเหลืองจาง ผิว- กายขาวซีด เหงื่อมักมีกลิ่นสาบ
๔) โรคที่เกิดจากเตโชธาตุ (ธาตุไฟ) มีอาการหน้าและนัยน์ตาแดง ท้องเฟ้อ ท้องขึ้น เหนื่อยอ่อน
ลมจตุรพฤกษ์นี้ แก้ที่ตา ที่รากขวัญ ที่ชายผม ตั้งแต่ทัดดอกไม้ลงไปถึงกึ่งกลางต้นคอและที่สะบัก เส้นปลายโครงสันหลังทั้งสองข้าง
ค. ลมประจำวันเกิด เป็นลมประจำวันของผู้ที่เกิดมาแต่แรก
๑) ลมประวาตะคุณ เป็นลมประจำวันของผู้ที่เกิดวันอาทิตย์
๒) ลมโกฐฐาสยาวาตา เป็นลมประจำวันของผู้ที่เกิดวันจันทร์ คือลมพัดอยู่ในลำไส้กระทำให้เป็นไปต่างๆ ลมธาตุจำพวกนี้จะให้ลงนับเวลามิได้ ครั้นจะให้ลงไปมากก็มิได้ ทำให้จุกแน่นอยู่ในลำคอ กินนมกินข้าวมิได้ เพราะรากอยู่อย่างรุนแรง และน้ำลายเหนียว ลมนี้ถ้าน้ำลายเหนียวเมื่อใดก็ตายเมื่อนั้น
๓) ลมอุทรวาตะ เป็นลมประจำวันของผู้ที่เกิดวันอังคาร เป็นลมกำเนิดบังเกิดติดต่อมาแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดากระทำให้ร้องไห้แต่อยู่ในเรือนไฟไปจนถึง ๓ เดือน อาการก็จะหายไปเอง ถึงจะแก้อย่างไรก็ไม่หาย เมื่อจะหายมันจะถอยลงมาจากศีรษะแล้วลงมาทรวงอก ลงมาตั้งประจำอยู่ในท้องเรียกว่าลมกองใหญ่ ถ้าเกิดพัดขึ้นไปในเส้นตามกระดูกสันหลัง ขึ้นมาตามหน้าอกและลำคอขึ้นมาถึงบ้องหู และกระหม่อม ถ้ามีอาการข้างขึ้นตาย ถ้ามีอาการข้างแรมไม่ตาย ลมชนิดนี้บางทีก็เรียกว่าตะบองราหูก็เรียก กุมารสังก็เรียก ยักขมุขี ก็เรียก
๔) ลมสุนทรวาตะ เป็นลมประจำวันของผู้ที่เกิดวันพุธ เกิดเพื่อซางสะกอ เวลาเกิดนั้น ตั้งขึ้นมาแต่สะดือ และท้องน้อย มักให้เจ็บท้องและท้องขึ้นก่อน แล้วจึงทำให้ลงท้อง มักให้นอนหลับไป ท้องขึ้นหน้าเขียวชักเท้ากำมือก
๕) ลมหัศคินี เป็นลมประจำวันของผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี เมื่อจะบังเกิดให้ชักเท้ากำมือกำ หลังแข็งเหงื่อตกท้องขึ้น ถ้าเป็นแต่เวลาเช้า ให้ระวังถึงเที่ยงตาย ถ้าเป็นแต่เที่ยงค่ำไม่ตาย ห้ามอย่าให้อาบน้ำเช้าเย็น อย่าให้กินยาที่เข้าสุรา ลมจำนวนนี้เกิดเพื่อซางโค แต่ตั้งมูลปฏิสนธิได้ ๓ เดือนจึงสำแดงโทษแก่กุมาร ลมจำพวกนี้ชอบแต่ยาเย็นเบ็นยาสุขุม
๖ ) ลมอริต เป็นลมประจำวันของผู้ที่เกิดวันศุกร์
๗) ลมกุมภัณฑ์ยักษ์ ลมบาดทะยัก ลมจำปราบ เป็นลมประจำวันของผู้ที่เกิดวันเสาร์ มีลักษณะเมื่อจับให้ช้อนตาดูสูง หน้าเหยี่ยว ชักเท้ากำมือกำ หลังแอ่นกัดฟัน จับเอาเมื่อกุมารเป็นเพื่อพิษต่างๆ ลมจำพวกนี้จึงบังเกิดพลอยด้วยขณะนั้น ถ้าไม่ใช่ดังนั้นก็ยังบังเกิดเพราะบาดเสี้ยนบาดหนาม เป็นบาดแผลเข้าที่ใดๆ ย่อมเป็นไข้พิฆาต จึงเป็นกำเนิดลมกุมภัณฑ์ยักษ์ ลมจำปราบ ลมบาดทะยักก็พลอยด้วย
ลมจำปราบ มีอาการกระทำพิษดุจพิษงูเห่า เมื่อจะจับนั้นให้ดิ้นรนเสือกไปก่อนแล้วจึงให้ชักหลังแอ่นไปถึงตะโพก ให้ตัวเย็น ขนกลับขึ้นเบื้องบน ถ้าไม่รู้วิธีแก้ก็ตาย และเวลาตายนั้นโลหิตแตกทุกเส้นข
ลมจำปราบนี้ ห้ามมิให้ใช้ยาผายที่เข้าสลอด จะตายเร็ว ให้ใช้ยาผายที่เข้าตัวยาเบญจอัมฤทธิ์ หรือมหาอัมฤทธิ์คู่กันก็ได้ โรคลมจำปราบนี้ ให้สังเกตดูให้ดี บางทีจะมีอาการคล้ายป่วงงู จะมีอาการผิดกันที่ป่วงงูนั้น มีลงและรากก่อนจึงเป็น ตัวแดงขนกลับลุกชันทุกเส้น ดิ้นเสือกไปและสลบ ส่วนลมจำปราบนั้นก็มีลักษณะอาการเช่นเดียวกัน แต่ทว่าต่างกันที่ตัวคล้ำตัวดำเข้า
ง. ลมอื่นๆ
๑) ลมชื่อสังขิ บางทีก็เรียกว่าลมสิกขิณี มีอาการเสียดยอกสีข้างทั้งสอง และลมสังขิณีนี้ เมื่อเกิดจะมีลมราทยักษ์เขาแทรก ถ้าเกิดในองคชาติ ก็เนื่องจากกามราคะแรง ถ้าเป็นสตรีก็เนื่องจากโลหิตหรือมดลูกพิการ อาการจะเจ็บไปที่สีข้างแล่นไปท้อง เลยไปที่หัวเข่าทั้งสอง การแก้ให้แก้ที่ลำลึงค์ที่เจ็บจึงจะคลาย
๒) ลมชื่อสันนิบาต มีอาการเจ็บปวดศีรษะเป็นกำลัง ให้แก้ที่รากขวัญ เกลียวคอทั้งสอง แถวกระดูกสันหลังทั้งสอง ที่ราวคางทั้งสอง
๓) ลมคัณภาหะ มีอาการหูทั้งสองข้างตึง ฟังอะไรไม่ได้ยินถนัด ให้แก้ที่บนหูซ้าย บริเวณทัดดอกไม้ ถ้าผู้ป่วยมีอาการง่วงเหงาหาวนอนด้วย ชื่อว่าลมธาระตฤณ ให้แก้ที่บนหูขวา
๔) ลมราทยักษ์ มีอาการไอ ถ้าไอไม่ออกก็กลายแปรไป ให้แก้เส้นเกลียวคอทั้งสองข้าง แก้ตามบั้นเอว ท้อง ชายโครง

๕) ลมปัตคาต เวลามีอาการ ทำให้ไหล่ซ้ายตาย แก้ที่ต้นแขนทั้งสอง บ่า ราวสีข้าง ข้อศอกทั้งสองข้าง
๖ ) ลมชิวหาสดมภ์ เวลามีอาการทำให้ไหล่ขวาตาย แก้ที่ต้นแขนทั้งสองบ่า ราวข้าง ข้อศอกทั้งสองข้าง ถ้าสะอึก นวดซอกคอข้างหน้า
๗) ลมอัมพฤกษ์ มีอาการสะบักยอก บางครั้งข้างขวา บางครั้งข้างซ้ายหรือทั้ง ๒ ข้าง แก้ที่หัวแม่มือหัวแม่เท้าทั้งสองข้าง แก้ที่เส้นเท้าทั้งสองข้าง ต้นเท้าและริมเท้า
๘) ลมอันตคุณ คนไข้มีอาการตัวร้อน เจ็บปวดทั้งสรรพางค์กาย หน้าท้อง- แข็งเป็นดาน แก้ที่เกลียวมือและหลังมือต่อกันทั้งสองข้าง ริมบริเวณสะดือ
๙ ) ลมจับโปงหรือลมสะคิว มีอาการเสียดยอกในหัวเข่า
๑๐) ลมสะคิว หรือตะคิวมักเกิดที่แขนหรือขา แก้ที่สันหน้าแข้งทั้งสองข้าง
๑๑) ลมกล่อน มีอาการเมื่อย กระดุกกระดิกไม่ได้เป็นสะคิว ลมอัมพฤกษ์ แก้ที่ตาตุ่มทั้ง ๒ ข้างถึงหัวเข่า ลำแขนทั้ง ๒ ข้าง
๑๒) ลมบาดทะยักษ์ มีอาการคอแข็ง แก้ที่ต้นคอและเกลียวเอ็นคอทั้งสองข้าง
๑๓) ลมปัตคาต มีอาการเจ็บขัดยอกตามสะบักข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างพร้อมกัน เคลื่อนไหวไม่สะดวก เวลาแก้ให้คลายที่ส้นเท้าและสันหลังตามแนวกระดูกทั้งสองข้าง เส้นบั้นเอวบริเวณชายโครง
๑๔) ลมแถกกระออน มีอาการหน้าท้องแข็งเป็นดาน ในลำไส้เป็นลูกกลมกลิ้ง เคลื่อนที่ไปมาได้ แก้ที่หัวเหน่า ท้อง บริเวณรอบสะดือ บั้นเอว สันหลัง
๑๕) ลมชื่อเนตร คนไข้มีอาการบิดตัวเหมือนถูกพิษงูเห่า แก้ที่บริเวณสันหลัง และขาทั้งสองข้าง
๑๖) ลมปะกัง มีอาการปวดศีรษะเวลาเช้า นวดแก้ที่โขนงคิ้วทั้งสองข้าง
๑๗) คนไข้มีอาการอาเจียนธรรมดา ให้นวดตามบริเวณ อก คอ
๑๘) คนไข้เมื่อยขบตามเนื้อตัว และอาการไข้สันนิบาต ปากเบี้ยว ให้นวดตามศอกข้างขวา
๑๙) คนไข้มวนท้อง ที่เรียกว่าลมอตวุสดมภ์ นวดบริเวณริมสีข้างและตัวบริเวณสะดือ
๒๐) อาการนอนไม่หลับ แก้ที่แข้งซ้าย
๒๑) ลิ้นกระด้าง นวดบริเวณฝ่าเท้า ตาตุ่มกลางฝ่าเท้าตลอดถึงหัวเข่
๒๒) อาการจุกเสียด กินอาหารไม่ได้ นอนไม่หลับ นวดราวนมลงไปตามบริเวณหน้าท้องและสีข้างข้างขวา
๒๓) ท้องขึ้นท้องเฟ้อ ปวดท้องน้อย นวดบริเวณตะคากข้างขวาและซ้าย เอาปลายนิ้วมือลากไปมาเบาๆ ตามบริเวณหน้าท้อง ทำให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติ
๒๔) ลมที่เกิดขึ้นมีอาการทำให้มืดหน้าตามัว ให้แก้เส้นที่ริมกระดูกสันหลัง และที่ต้นคอทั้งสองข้าง
๒๕ ) ลมที่ทำให้ลิ้นแข็งพูดไม่ได้ พูดไม่ชัด ให้แก้ที่ปลายคาง และที่ใต้ปลายคาง เข้าไปหนึ่งนิ้ว ลมชนิดนี้มักเป็นลมชิวหาสดมภ์
๒๖) ลมที่ทำให้นอนนิ่งแน่ไป เรียกโทสันทะฆาต ให้แก้ที่หัวแม่เท้าทั้งสองข้าง ข้อตีนทั้งสองข้าง ต้นขาทั้งสองข้าง แก้ต้นคดด้วย
๒๗) ลมที่ทำให้นอนเซา แน่นิ่งอยู่ ให้แก้ที่เท้าและบ่าทั้งสองข้าง ๒๘ ) ลมที่ทำให้นอนไม่หลับ แก้ที่หัวเข่าทั้งสองข้าง มือทั้งสอง
ข้าง หัวไหล่ทั้งสองข้าง และหัวอก
๒๙) ลมตาม ๒๔ ๒๕ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ถ้ามีอาการทำให้นอนไม่หลับ กินข้าวไม่ได้ ให้แก้เช่นเดียวกัน
๓๐) ลมทำให้ตีนมือตาย แก้หัวไหล่ บั้นเอว ส้นเท้าทั้ง ๒ ข้าง ให้ยอกขัดอยู่ทั้งตัว ให้แก้ที่เกลียวปัตคาตทั้งสองข้าง
๓๑) ลมทำให้หัวไหล่ตายทั้ง ๒ ข้าง หัวเข่าตายทั้งสองข้าง ให้เจรจาไม่ได้ แก้ที่ลิ้น กดให้แรง
๓๒ ) ลมที่ทำให้มันจุกอก และลิ้นตาย ให้แก้ที่ข้อตีน และซอกคอทั้ง ๒ ข้าง
๓๓) ลมทำให้ชักปากเบี้ยว ตาแหก ให้แก้ที่ท้องน้อย
๓๔) ลมทำให้จุกอก และลิ้นคาย ให้แก้ที่หัวไหล่ทั้งสองข้าง และมือทั้งสองข้าง
๓๕) ลมทำให้ขัดหัวใจ ให้แก้ที่เท้ากับต้นคอและหัวไหล่ทั้งสอง ถ้าหายใจขัด ให้ขัดตะหมาดนอนหงาย หายใจออกได้ ถ้าเจ็บท้อง ให้ขัดตะหมาดนอนคว่ำ
๓๖) ถ้าลมเกิดขึ้นในไส้ ให้แก้ที่สะบักทั้งสองข้าง
๓๗) ถ้าลมเกิดขึ้นในอก ให้แก้ที่สะดือ
๓๘) ถ้าจะแก้ลมกระษัยกล่อน ให้แก้ที่ตาตุ่มและหัวแม่เท้าทั้งสองข้างหาย
๓๙) ถ้าจะแก้ลมทำให้ตัวเย็น ให้แก้ที่ท้อง เหตุเพราะเส้นสูญมันพาดไปที่เท้าและหน้า แล่นไปถึงศรีษะ
๔๐) ถ้าลมเป็นที่ท้อง ให้แก้ที่ตีนทั้งสองข้าง
๔๑) ถ้าลมปะทะขึ้นหน้าอก ให้แก้ที่ต้นขาทั้งสองข้าง
๔๒) ลมทำให้มือตีนเย็นเป็นเหน็บชา แก้ที่กลางใจมือกลางใจเท้า ๔๓) ลมทำให้เกิดเสลด ให้แก้ที่แขนและสีข้างทั้งสองข้าง
๔๔) ถ้าเป็นลมพรรดึก ให้แก้ที่ไหล่ทั้งสองข้าง ถ้าไม่ฟังเอาน้ำ
มะนาวให้กินเสียก่อน จึงค่อยแก้
๓ ) การประคบ
การประคบ ก็เป็นวิธีการอย่างหนึ่ง ควบคู่กันไปกับการนวด และการประคบนี้ เราจะใช้ประคบในโรคต่างๆ ได้หลายโรค เช่น โรคเหน็บชา อัมพฤกษ์ อัมพาต โรคปวดเมื่อย โรคปวดตามข้อ โรคชาตามประสาท โรคเท้าแพลง เราประคบก็เพื่อให้เลือดลมเดินสะดวก และให้ตัวยาที่ประคบได้ซึมแทรกเข้าไปในผิวหนัง ทำการบำบัดโรคต่างๆ ดังกล่าวด้วย
๔) การอบสมุนไพร
การอบสมุนไพร เป็นการช่วยในการนวดและการประคบอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งจะทำให้โรคบางอย่างหายเร็วขึ้น และการประคบนี้ก็ใช้ได้ในรายที่คลอดบุตรแล้ว เพราะการอบก็เช่นเดียวกับการเข้ากระโจมนั่นเอง ในรายที่ไขมันมาก ในรายที่อ้วนเกินไป ก็จะบำบัดด้วยการประคบเช่นกัน
๕) ยาที่ใช้ในการนวด การประคบ และการอบ
ยาที่ใช้ในโรคที่จะต้องนวดนี้ โดยมากมักใช้ยาถ่าย เช่น ถ่ายเส้นถ่ายเอ็น ถ่ายท้อง ยาบำรุงเส้นเอ็น บำรุงร่างกาย บำรุงประสาท ยารสมันแก้ทางเส้นเอ็น มียาพวกน้ำมันใช้ทา
ยาที่ใช้ในการประคบ การประคบเราประสงค์ให้ตัวยาแทรกซึมเข้าในร่างกายส่วนที่เราประคบ โดยใช้เครื่องยาตำบดหยาบๆ ก็ใช้ได้ ห่อผ้านึ่งให้ร้อน ชุบน้ำส้มหรือน้ำสุรา หรือน้ำร้อนก็ได้ แล้วใช้ประคบร่างกายส่วนที่เราประสงค์
ยาที่ใช้ในการอบสมุนไพร การอบก็เพื่อให้ร่างกายได้ความร้อนจากไอน้ำซึ่งเราใช้สมุนไพรสด ซึ่งโดยมากก็จะมีผักบุ้ง ใบมะขาม ใบส้มป่อย ไพล ผิวส้ม ตะไคร้ หัวหอม และตัวยาอื่นๆ อีก
ยาที่ใช้ในการประกอบการนวค ก็มี
๑) ยาระงับลมหทัย ชื่อจิตรารมย์ ยาขนานนี้ใช้กินกับน้ำร้อน น้ำผึ้ง น้ำส้มซ่า น้ำสุรา หรือน้ำกระสายตามอาการของโรค แก้ลมสวิงสวาย ดวงจิตระส่ำระสายและวิงเวียน ลมตรีโทษเกิดในหทัยและดวงจิตขุ่นมัว ร้อนในอกในท้องในสันหลัง
๒) ยาชื่อกล่อมอารมย์ แก้ลมเบื้องต้นจนถึงที่สุด ลมหทัยวาตะลมทักชิณคุณ เอาน้ำผงเป็นกระสาย น้ำกระสายมักใช้ตามควรแก่โรค
๓) ยาชื่อเบญจขันธ์ เป็นยาผายลมที่เกิดในเส้นในเอ็น
๔) ยาเขียวประทานพิษ แก้ลมกาฬสิงคลี ลมชิวหาสดมภ์ ลมมหาสดมภ์ ลมทักขิณโรธ ลมตติยวิโรธ ลมอีงุ้มอีแอ่น ลมกุมภัณฑยักษ์ ลมบาทจิตค์ ลมอัศมุขี ลมราทยักษ์ ลมพุทธยักษ์ ยาขนานนี้ใช้ได้ทั้งกินนทั้งทา แก้สรรพลมทั้งหลาย ลมกระษัย ลมริดสีดวง ลมกาฬวิงเวียน ลมโฮกเหียน และลมต่างๆ น้ำกระสายยักตามควรแก่โรค
๕) ยาเหลือง ใช้แก้ลมมีพิษดังงูเห่าที่เกิดแต่ต้นจนถึงที่สุด ลมพิษต่างๆ ลมเสมหะ ลมริดสีดวง ลมเถา ลมดาน น้ำผง น้ำอ้อย น้ำสุรา น้ำส้ม เป็นกระสาย
๖) ยาชื่อชุมนุมวาโย แก้ลมในเส้น ในผิวหนัง ในโลหิต ในกระดูก ในเนื้อ น้ำกระสายตามควรแก่โรค แก้ลม ๑๐๐ จำพวก เอาน้ำผลมะแว้งละลายน้ำผึ้งรวงพิมเสนรำหัดกิน
๗) ยาชื่อพระแสงจักร์ แก้ลมจับแต่หัวแม่เท้าจนศรีษะ แก้ลมกลิ้งอยู่ในท้อง ลมมือตายเท้าตาย ลมจับเท้าเย็น ลมมีพิษในตัว
๘) ยาแก้ลมกล่อน แก้อัณฑะเจ็บเมื่อยตายไปข้างหนึ่ง หรือทั้งตัว แก้กล่อนลม
๙) ยาชื่อประสรรณี แก้ลมบาทาทึก ลมสลบทั้งลงทั้งอาเจียน ลมมือเขียว เท้าเขียว ชักลมหทัยวาตะ
๑๐) ยาชื่อสระสระการะบูน แก้สรรพลมกองใหญ่ ทำให้ผายธาตุ ลมกองใหญ่ ลมกองน้อยทั้งปวง
๑๑) ยาชื่อลมตุลาราก แก้ลมเกิดแต่คอหอยให้เหม็นคาวคอ ถ่มเสลดบ่อยๆ หายใจขัดอก ใช้น้ำผึ้งเป็นกระสาย
๑๒) ยาชื่อหงษ์ทอง ใช้ทำเป็นยานัตถุ์ แก้ลม ๑๐๐ จำพวก
๑๓) ยามหาสมมิทใหญ่ แก้ลมจุกเสียด ลมแน่นในอก ในท้อง แก้ท้องรุ้งพุงมาน และไส้เลื่อน แก้หืด แก้หอบ แก้โลหิต แก้เสมหะ แก้ลม ๑๐๘ จำพวก แก้ชักสะดุ้ง แก้ตามืดตามัว แก้หูหนักเสียงแห้งผอมเหลือง แก้กาฬในอกและลมอันมีพิษ แก้มะเร็งคุดทะราด แก้ลมกระษัย ลมดานทคุณ ลมชักปากเบี้ยว ตาแหก มือตาย เท้าตาย เหน็บชา ไอจาม เมื่อยขากรรไกร ลิ้นกระด้างคางแข็ง ลมปัตคาต ราทยักษ์ ลมกระทกทั่วร่างกาย ลมอาเจียน บวมมือเท้าตาย ลมอัศวาตจับหัวใจให้คลั่งเพ้อ บำรุงธาตุทั้ง ๔ ให้บริบูรณ์
๑๔) ยาหอมสรรพคุณ แก้ลมจับลิ้นกระด้างคางแข็ง แก้พิษลมพิษไข้เพื่อโลหิตและเสมหะ แก้นอนไม่หลับกระสับกระส่าย น้ำกระสายยักตามควรแก่โรค
๑๕) ยาชื่อฝนแสนห่าสิงคาทิจร แก้สันนิบาต ๗ จำพวกที่เกิดเพื่อเสมหะโลหิต หอบ ไอ เสียงแห้ง สะอึก นัตถุ์ก็ได้ แก้โลหิตใช้น้ำส้มป่อย แก้ป่วงละลายน้ำสุรา แก้ลมละลายน้ำอ้อยแดง แก้ลมเสมหะละลายน้ำมะนาว แก้สะอึกละลายน้ำขิง น็าส้มซ่า แก้จุกเสียดลมขึ้นตามเท้าละลายน้ำข่า
ยาสำหรับรักษาโรคที่ต้องนวดนี้ ยังมีอีกเป็นเอนกประการ สุดแล้วแต่ผู้ที่ทำการรักษา จะใช้ยาชนิดใด และประสมอย่างใด เพราะแต่ละแพทย์ย่อมมีวิธีการไม่เหมือนกัน สุดแต่จะเห็นว่ายาสิ่งใดควรแก่โรค ก็ใช้ยาสิ่งนั้น
ที่มา:พ.ต.ต. ปราโมทย์ ศรีกิรมย์ นายเจือ ขจรมาลี
โครงการเผยแพร่เอกลักษณ์ของไทย